United States Medical Licensing Examination
การสอบใบประกอบวิชาชีพแพทย์อเมริกาหรือ USMLE ถือเป็นข้อสอบแพทย์ที่มีความยากอันดับต้น ๆ ด้วยเหตุผลที่ว่านักเรียนแพทย์ของอเมริกานั้นจะต้องเป็นผู้ที่จบปริญญาตรีมาก่อนแล้วจึงมาเรียนต่อแพทย์อีก 4 ปี จึงถือว่านักเรียนกลุ่มนี้มีวัยวุฒิที่สูง USMLE จึงเป็นข้อสอบที่วัดทั้งความรู้ ความสามารถแล้วยังวัดเรื่องมุมมองทัศนคติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาชีพแพทย์อย่างครบถ้วน จนถือเป็นแนวทางการสอบวัดความรู้แพทย์ไปในอีกหลายประเทศอีกด้วย
ข้อสอบ USMLE หรือ United States Medical Licensing Examination นั้นแบ่งการสอบออกเป็น 3 ขั้นตอน จัดสอบโดย the Federation of State Medical Boards (FSMB) และ the National Board of Medical Examiners (NBME) ซึ่งข้อสอบนี้ถือเป็นข้อสอบกลางที่เด็กที่เรียนในอเมริกาและแพทย์จากทั่วโลก (International Medical Graduates (IMGs)) ต้องสอบร่วมกัน ทำให้ในปี ๆ หนึ่งนั้นมีนักเรียนแพทย์เข้าสอบเป็นจำนวนมาก
จุดประสงค์ของข้อสอบ USMLE
ข้อสอบ USMLE วัดความรู้ความสามารถของแพทย์ ตั้งแต่การประยุกต์ความรู้ มโนทัศน์และหลักการต่าง ๆ มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับการรักษาคนไข้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ในการออกข้อสอบแต่ละครั้งนั้นคณะกรรมการออกข้อสอบประกอบไปด้วยคณาจารย์ด้านการแพทย์ และหมอจากทั่วทั้งอเมริกามาเป็นกรรมการในการออกข้อสอบ ซึ่งจะมีการประเมินหลายขั้นตอน เพื่อปรับปรุงข้อสอบที่อาจทำให้เกิดผิดพลาดในการประเมินความรู้
ทั้งนี้แพทย์ที่ต้องการจะทำงานในอเมริกานอกจากจะมีวุฒิ M.D. ถึงจะมีสิทธิ์ในการสอบแล้ว ยังต้องสอบให้ผ่านทั้ง 3 ขั้นด้วยจึงมีสิทธิ์ได้รับใบอนุญาตในการประกอบวิชาชีพแพทย์ในสหารัฐอเมริกา
เนื้อหาการสอบ USMLE ขั้นตอนที่ 1
การสอบในขั้นนี้เพื่อประเมินว่านักศึกษาแพทย์ หรือบัณฑิตแพทย์สามารถประยุกต์ใช้องค์ความรู้พื้นฐานวิทยาศาสตร์ (Basic Sciences) มาคิดวิเคราะห์ในเชิงการแพทย์ได้หรือไม่ ซึ่งไม่เพียงแต่ผู้เข้าสอบจะต้องมีความรู้ ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์สำหรับการแพทย์เป็นอย่างดีแล้วนั้น ยังต้องสามารถเข้าใจหลักการทางวิทยาศาสตร์เพื่อต่อยอดสร้างองค์ความรู้ที่เรียกว่า “การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)” ได้อีกด้วย ดังนั้นการสอบถูกแบ่งออกเป็น 2 ด้านใหญ่ ๆ ได้แก่ระบบความคิดและการนำไปต่อยอด (System and process) การสอบประกอบไปด้วยรายวิชาดังนี้
กายวิภาคศาสตร์ (Anatomy), พฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral sciences), ชีวเคมี (Biochemistry), จุลชีววิทยา (Microbiology), พยาธิวิทยา (Pathology), เภสัชวิทยา (Pharmacology), สรีรวิทยา (Physiology) และยังมีรายวิชาอื่น ๆ เช่น โภชนาการ พันธุศาสตร์ เป็นต้น ซึ่งข้อสอบในขั้นตอนที่หนึ่งเรียกได้ว่าเป็นข้อสอบที่ยากที่สุด เพราะเป็นข้อสอบเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ทั้งหมด ทำให้กะเกณฑ์ขอบเขตได้ยาก
การสอบ USMLE ขั้นตอนที่ 1 อนุญาติให้สอบได้เมื่อนักศึกษาเรียนจบชั้นความรู้พื้นฐานวิทยาศาสตร์ (Basic Sciences) โดยสามารถดูได้จากหลักสูตรที่เรียน ซึ่งโดยปกติถ้าเป็นนักศึกษาในอเมริกา หลักสูตรแพทย์ 4 ปี จะสอบตอนเรียนจบชั้นปีที่ 2 ส่วนนักศึกษาในระบบแพทย์ 6 ปีมักจะสอบช่วงชั้นปีที่ 3 หรือปีที่ 4 ขึ้นอยู่กับหลักสูตร
ความสำคัญของคะแนน USMLE ขั้นตอนที่ 1 นับได้ว่าสำคัญที่สุด เพราะจะใช้เป็นเกณฑ์ในการประเมินผู้สมัครเพื่อรับเข้าการฝึก Residency ในสหรัฐอเมริกา เพราะนักศึกษาที่สอบได้คะแนนสูงก็มีโอกาสสูงที่ผ่านช่วง Residency และสามารถสอบ Specialty’s Board ได้เช่นกัน และแม้ว่าคะแนนผ่านจะอยู่ที่ 192 แต่หากต้องขอยื่นฝึก Residency ในสหรัฐอเมริกาจริง นักศึกษาที่จบจากต่างประเทศจะต้องสอบให้ได้คะแนนประมาณ 240 ขึ้นไป
แต่เนื่องจากการสอบจะมีการบันทึกคะแนนไว้ถาวร ดังนั้นผู้ที่สอบผ่านแล้วจะไม่สามารถสอบใหม่เพื่อให้คะแนนสูงขึ้นได้ แต่หากสอบไม่ผ่าน สามารถสอบใหม่ได้อีก 6 ครั้ง ซึ่งถ้าพลาดอีก 3 ครั้งจะต้องเว้นระยะเวลาอย่างน้อย 12 เดือนจึงจะมีสิทธิ์สอบใหม่ แต่ผลของการสอบไม่ผ่านก็จะมีการบันทึกไว้ตลอดไปเช่นกัน ดังนั้นนักศึกษาที่มีความต้องการจะฝึก Residency ในสหรัฐอเมริกาจริง ๆ ก็ควรที่จะเตรียมความพร้อมให้มากที่สุดก่อนเช่นกัน เพราะหากคะแนนสอบไม่ดีติดกันก็มีผลต่อการยื่นฝึก Residency
เนื้อหาการสอบ USMLE ขั้นตอนที่ 2
การสอบในขั้นนี้เพื่อประเมินว่านักศึกษาแพทย์ หรือบัณฑิตแพทย์สามารถประยุกต์ใช้องค์ความรู้เชิงการแพทย์ (medical knowledge) ทักษะและความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้ชั้นคลินิก (clinical science) ที่สำคัญ ๆ เพื่อนำมารักษาผู้ป่วย โดยจะมุ่งเน้นสาระสำคัญไปที่การส่งเสริมสุขภาพให้ดีขึ้นและการป้องกันโรค การสอบในขั้นตอนที่ 2 จะแบ่งการสอบออกเป็น 2 ส่วนได้แก่
Step 2 CK
Step 2 CK หรือ USMLE Step 2 Clinical Knowledge เป็นการสอบหนึ่งวันเต็ม การสอบจะแบ่งออกเป็น 9 session ซึ่งมีรูปแบบการตอบข้อสอบที่หลากหลายขึ้นอยู่กับข้อสอบ ซึ่งจะวัดความรู้แพทย์และโรคต่าง ๆ การสอบประกอบไปด้วยรายวิชาดังนี้
อายุรศาสตร์ (Internal medicine),สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา (Obstetrics and gynecology), กุมารเวชศาสตร์ (Pediatrics), เวชศาสตร์ป้องกัน (Preventive medicine), จิตเวชศาสตร์ (Psychiatry), ศัลยศาสตร์ (Surgery), รวมถึงการให้การรักษาให้ศาสตร์อื่น ๆ
Step 2 CS
Step 2 CS หรือ USMLE Step 2 Clinical Skills เป็นการสอบประเมินทักษะการรักษาและการสื่อสารกับผู้ป่วย การสอบประกอบไปด้วยรายวิชาดังนี้
Communication and Interpersonal Skills (CIS)
เป็นการประเมินทักษะการสื่อสารโดยมีคนไข้เป็นศูนย์กลาง (Patient-centered communication skills) โดยดูว่าแพทย์สามารถรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคนไข้ รวบรวมข้อมูลที่สำคัญ ให้คำปรึกษา ช่วยเหลือให้ผู้ป่วยสามารถตัดสินใจได้ รวมถึงให้การสนับสนุนด้านอารมรณ์แก่ผู้ป่วย ซึ่งการจะประเมินจะกับผู้ป่วยจริง โดยจะประเมินเป็นขั้นตอน (Checklist) จากการสังเกตุพฤติกรรมผู้เข้าสอบ
Spoken English Proficiency (SEP)
เป็นการประเมินความชัดเจนในการสื่อสารภาษาอังกฤษภายใต้บริบทระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย (Doctor-patient encounter) โดยจะวัดตั้งแต่การออกเสียง การเลือกคำ การพูดอย่างเหมาะสม การพูดแล้วผู้ป่วยงงหรือไม่ ต้องทวนคำถามไหม ผู้ฟังต้องใช้ความสามารถในการฟังขนาดไหน สำเนียงพูดพูดหรือผู้สอบฟังยากหรือไม่
Integrated Clinical Encounter (ICE)
เป็นการประเมินทักษะการรวบรวมข้อมูลและการตีความข้อมูลที่ได้จากคนไข้ การซักประวัติ (History taking) ตามด้วยการตรวจร่างกาย (Physical examination) แล้วให้คิดถึงโรคที่มีความเป็นไปได้มากน้อยที่สุด (Justification of the potential diagnoses) หรือการให้การวินิจฉัยแยกโรค (Differential diagnosis)
ในขั้นตอนที่ 2 ข้อสอบจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนได้แก่ CK ที่วัดความรู้ด้านการดูแลรักษาผู้ป่วยและความรู้ชั้นคลินิก ความยากในการสอบ USMLE ขั้นตอนที่ 2 ก็คือว่านักศึกษาจะต้องสอบวัดความรู้ด้านการสื่อสารด้วยทั้งการสอบถามข้อมูล การตัดสินใจและการให้คำแนะนำคนไข้ ซึ่งจะต้องสื่อสารกับคนไข้เจ้าของภาษาให้รู้เรื่องนั่นเอง
การสอบ Step 2 CS นั้นจะเป็นการสอบกับผู้ป่วยจริง เพื่อประเมินว่านักศึกษาหรือแพทย์สามารถรวมรวมข้อมูลที่ได้จากผู้ป่วยมาประเมินและออกแบบแนวทางการรักษาได้ถูกต้องหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบการตรวจร่างการ การสื่อสารระหว่างผู้ป่วย รวมไปถึงเพื่อนร่วมงานเช่น พยาบาล เป็นต้น การสอบ Step 2 CS จัดสอบเพียง 5 รัฐเท่านั้น ได้แก่ Philadelphia Chicago Atlanta Houston และ Los Angeles
เนื้อหาการสอบ USMLE ขั้นตอนที่ 3
การสอบ USMLE Step 3 ถือเป็นการสอบขั้นตอนสุดท้ายของข้อสอบแพทย์ USMLE ซึ่งจะเป็นการสอบปฏิบัติเพื่อดูว่านักศึกษาแพทย์พร้อมและสามารถรักษาคนไข้ภายใต้การดูแลของอาจารย์ได้หรือไม่ ซึ่งจะเน้นในการเรื่องของการจัดการผู้ป่วย (Patient management) เป็นหลัก นักศึกษาแพทย์ในประเทศอเมริกามักจะสอบเมื่อจบปีแรกของการฝึก Residency ซึ่งในเนื้อหาดังนี้
Central nervous system,
Eye/ear/nose/mouth/throat,
Respiratory system,
Circulatory system,
Digestive system,
Behavioral/emotional disorders,
Musculoskeletal system,
Skin/subcutaneous tissue,
Endocrine/ nutrition /metabolic disorders,
Kidneys/urinary tract,
Reproductive system,
Pregnancy/childbirth,
Neonate/childhood illnesses,
Blood and blood-forming organs,
Infectious/parasitic diseases,
Injuries/wound/toxic effects/burns,
Health maintenance issues.
อย่างไรก็ดี การสอบใบประกอบวิชาชีพแพทย์ของอเมริกานั้นมีผู้ต้องการสอบมากมายจากทั่วโลก เพราะปัจจัยต่าง ๆ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือเราจะต้องเตรียมความพร้อมให้การสอบให้มากที่สุดเพื่อให้ได้คะแนนที่ดีที่สุดตั้งแต่ครั้งแรกที่สอบ
คอร์สเรียน USMLE
ต้องการข้อมูลคอร์สเรียน USMLE เพิ่มเติม กรอกรายละเอียดทิ้งไว้ได้เลย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
☎️☎️โทร : 02-645-4084, 02-645-4085
✅✅Line : @linsmedical หรือ https://line.me/R/ti/p/%40linsmedical
จะรออะไรอีก Lin’ s #เปลี่ยนเรื่องแพทย์ให้เป็นเรื่องง่าย