วิธีฝึกภาษาให้เก่งก่อนไปเรียนแพทย์เมืองนอก (ไม่ไปก็ใช้ได้)

การเรียนแพทย์เมืองนอกจะต้องมีความรู้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดีทั้งในทักษะฟัง พูด อ่านและเขียน ซึ่งจะต้องมีการสอบ TOEIC, IELTS หรือ TOEFL อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อยืนยันว่าเราเป็นบุคคลที่มีความสามารถจริง ๆ แต่เอาเข้าจริง นอกเหนือไปจากข้อสอบแล้ว การไปใช้ชีวิตเมืองนอกไม่ว่าจะไปประเทศใดก็ตาม เราก็มีความจำเป็นที่จะต้องรู้ภาษาอังกฤษเพื่อเป็นทักษะในการเอาตัวรอด Lin’s Thailand จะบอกว่าอะไรคือเคล็ดลับสู่ความสำเร็จในการเรียนภาษาอังกฤษ ทั้งเรียนเพื่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน หรือจะเรียนเพื่อสอบไปเรียนแพทย์ก็ตาม

เราจะเรียนกันอย่างไรดี

เวลาที่เราเรียนภาษาที่ 1 หรือภาษาแม่ที่พูดกันตั้งแต่เกิด เราจะเริ่มจากการฟังจากนั้นก็เลียนเสียงตาม แล้วค่อยพูดได้ จากนั้นค่อยมาเรียนการอ่านเพื่อให้เขียนได้ ซึ่งวิธีนี้ก็ถือว่าเป็นวิธีธรรมชาติที่ช่วยให้การเรียนภาษาอังกฤษหรือภาษาที่ 3 ที่ 4 ได้ผล แต่ถึงจะบอกอย่างนี้ก็ตาม ก็ใช่ว่าจะทำกันได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะถ้าเราไม่ได้อยู่ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษหรือมีเพื่อนเป็น Native Speaker ดังนั้นการเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 เราจึงต้องเรียนทั้งสี่ทักษะไปให้พร้อมกันให้ได้มากที่สุด โดยมีกฎข้อเดียวคือ

“จงให้ภาษาอังกฤษอยู่รอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใดก็ตาม”

“Make English part of your life at home, at work, during your free time.”

การฟังเริ่มอย่างไงดี

การฟังเป็นก้าวแรกไปสู่ทักษะอื่น ๆ เดียวนี้มีช่องการฟังเยอะแยะ ใครชอบสำเนียงไหนบริทิชอังกฤษ หรืออเมริกันก็หาฟังหรือดูได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น BBC, Fox News, CNN ที่สำคัญคือเมื่อฟังไม่ออกหรือเจอศัพท์ที่ไม่เข้าใจให้จดคำศัพท์เหล่านั้นเอามาท่องด้วย

1. ฟังข่าวจากวิทยุหรือดูข่าว

การเริ่มฝึกฟังจากการหัดฟังข่าวเป็นวิธีนึงที่ง่ายที่สุด เพราะว่าข่าวมักจะเกิดคล้ายเดิม ๆ ประกอบกับข่าว 1 ข่าวมักจะไม่ได้จบในวันเดียว แต่อาจจะมีการรายงานข่าวหลายรอบ เช่น ข่าวจับกุมคนร้าย วันถัดมาแถลงข่าว เดี๋ยวอีกสักพักขึ้นศาล ซึ่งจะทำให้คำศัพท์ที่เราได้ฟังเป็นคำเดิมบ่อย ๆ พอเจอหลายครั้งเข้าก็จะทำให้จำได้อย่างรวดเร็ว เหตุผลอีกประการคือนักข่าวมักจะเป็นคนที่พูดชัด ออกเสียงชัดเพราะเป็นลักษณะสำคัญของนักข่าว ยิ่งข่าว ลม ฟ้า อากาศ มักจะเป็นข่าวที่คำศัพท์ซ้ำเดิมตลอดไม่ฝนตกฟ้าร้อง ก็อากาศร้อน อยู่อย่างนี้

2. ฟังเพลงภาษาอังกฤษ

การฟังเพลงถ้าฟังเลยโดยไม่รู้เนื้อร้องอาจจะฟังยากไปสักหน่อย แต่ข้อดีของเพลงคือการที่มีดนตรีเข้าช่วยบวกกับจังหว่ะ ก็จะช่วยทำให้เราจำเนื้อร้องได้ง่ายขึ้น เมื่อฟังซ้ำบ่อย ๆ ร้องได้ ก็ถือว่าได้ประโยคไปพูดหรือเขียนในชีวิตจริงได้ด้วย แต่อย่าแปลเนื้อให้ตัวเองเข้าใจก่อนนะ

3. ดูภาพยนตร์พากย์ภาษาอังกฤษ

เดี๋ยวนี้มีช่องทางออนไลน์มากมายที่เปิดโอกาสให้เราได้หัดฟัง การดูภาพยนตร์เป็นทางที่หลายคนมักจะฝึกฝนกัน  ยิ่งสำหรับหนงรักแล้ว ประโยคหรือคำศัพท์ที่ใช้มักจะเป็นประโยคที่พูดกันจริง ๆ ในชีวิตประจำวัน แต่สำหรับภาพยนตร์บู๊ ไซไฟ อาจจะมีหลาย ๆ คำที่อาจจะไม่ได้นำมาใช้ในชีวิตจริง การฝึกฟังจากภาพยนตร์เลยยังมีเรื่องของสำเนียงอารมณ์ของตัวละครพูดตอนตลก ตอนร้องไห้ ก็อาจจะทำให้ฟังยากนิดนึง ดังนั้นฝึกฟังข่าวให้คล่องก่อนจะช่วยได้มาก

ฝึกพูดอย่างไรให้เป๊ะ ปัง

มักเชื่อกันว่าทักษะการพูดเป็นทักษะที่ยากที่สุด หลายคนฟังคำถามเข้าใจแต่ดันตอบไม่ได้ หรืออยากจะบอกอะไรกับฝรั่งก็ดันติดอยู่ปาก แต่ทักษะนี้ยิ่งพูดมากเท่าไหร่ ยิ่งชินปากมากเท่านั้น ซึ่งทุกวันนี้การฝึกพูดก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะเท่ามีเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วย

1. พูดกับครูหรือเพื่อนนักเรียนด้วยกัน

ถ้าใครที่ลงคอร์สเรียนตามสถานบันต่าง ๆ ก็ถือว่าโชคดีเพราะมีโอกาสได้คุยกับอาจารย์ผู้สอนซึ่งรู้จริง หรืออาจจะเป็นผู้สอนเจ้าของภาษาก็ยิ่งช่วยเราได้มาก แต่ทั้งนี้เราก็ต้องพยายามฝึกพูดกับเพื่อนนักเรียนด้วยกันด้วย ถึงจะถือว่าได้ใช้ประโยชน์จากลงเรียนให้ได้สูงสุด

2. หาเพื่อนที่เป็น Native Speaker เลย

สำหรับสายประหยัด เราสามารเข้าห้องแชทต่าง ๆ ได้ หรือจะใช้แอปพลิเคชันในมือถือช่วยหาเพื่อนก็ได้ เพื่อจะได้ฝึกฝนการใช้ภาษา ไม่ว่าจะเป็นการหาเพื่อนเพื่ออาสาไปเป็นไกด์นำเที่ยว หรือจะชิทแชทเรื่องทั่วไป บางทีอาจจะสนิทจนไปได้มาหาสู่เปิดโลกกว่ากันอีกด้วย

3. คุยคนเดียวไปเลย

ใครใช้ Apple ก็สามารถคุยกับมือถือได้ง่าย ๆ เลยด้วย Siri หัดสั่งงานเจ้า Siri บ่อย ๆ ถ้ามันเข้าใจแสดงว่าภาษาของเรานั้นดีแล้ว แต่ใครใช้ Android ก็อย่าลืม Hello Google บ่อย หรือหาแอปพลิเคชันที่เป็นแชทโรบอตก็ช่วยเรื่องฝึกภาษาได้เหมือนกัน อาจจะเป็นวิธีที่แปลกไปหน่อยแต่ได้ผลแน่นอน

อ่านและเขียนทำอย่างไรให้เพอร์เฟ็ก

การอ่านไม่เพียงแต่จะทำให้ภาษาของเราดีขึ้นเท่านั้น ยังทำให้ได้คำศัพท์ใหม่ ๆ เพื่อไปฟัง พูดหรือเขียนแล้วยังช่วยเพิ่มความรู้เกี่ยวกับโลกอันกว้างขวางใบนี้ให้ได้อีกด้วย ซึ่งการอ่านหนังสือคงจะบอกได้ว่าดีที่สุดพราะอ่านได้นานและสบายตา แต่เดี๋ยวนี้ก็มีข่าวฟรีมากมายมาให้อ่านกันแบบ Online ดังนั้นก็สามารถอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งเมื่อต้องการจำประโยคไหนให้ได้ ก็เขียนซ้ำประโยคนั้นบ่อย ๆ อ่านแล้วเขียนตาม อ่านแล้วเขียน เลือกประโยคที่ชอบ ที่อยากจะนำมาพูด เพียงเท่านนี้ทักษะภาษาทั้ง 4 ก็ดีขึ้นอย่างแน่นอน หรือถ้าอยากเรียนหมออยู่แล้วก็หัดอ่านฟิสิกส์ เคมีและชีววิทยาเป็นภาษาอังกฤษก็ได้นะ

ที่สำคัญอย่าลืมเรียนไวยกรณ์ (Grammar) และท่องศัพท์ทั้งเก่าและใหม่อยู่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะได้ทำให้เราเข้าใจอรรถรสการฟังและการอ่านมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็อย่างที่บอกไปแล้วว่าเราจะต้องฝึกทุกวันและพยายามเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมให้เป็นภาษาอังกฤษด้วย

เรียนภาษาที่ฟิลิปินส์

ถ้าใครรู้สึกการบังคับตัวเองให้ใช้ภาษามันยากเกินไป ลองไปใช้ชีวิตในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษก็ได้ อย่างเช่นที่ฟิลิปปินส์ซึ่งมีภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ และที่สำคัญคือค่าเรียนและค่าครองชีพถือว่าถูก ใกล้เคียงกับเมืองไทยเลยทีเดียว

อ่านเพิ่มเติมเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษที่ฟิลิปินส์และค่าใช้จ่าย

สถาบันที่จะไปเรียนมีชื่อว่า The ELITE Institute ซึ่งมีการเรียนการสอนในหลากหลายรูปแบบ โดยจะปรับให้เหมาะสมกับผู้เรียนโดยเฉพาะอุปกรณ์การเรียนและหลักสูตร ซึ่งเปิดสอบมาตั้งแต่ 1996 จึงสามารถมั่นใจในประสบการณ์การสอนกว่า 20 ปีของได้

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.eliteeduc.com/

บรรยากาศการเรียน : https://www.eliteeduc.com/language-center

ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรอกรายละเอียดทิ้งไว้ได้เลย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

??Inbox Facebook กดเลย

☎️☎️โทร : 02-645-4084, 02-645-4085

✅✅Line : @linsmedical หรือ https://line.me/R/ti/p/%40linsmedical

จะรออะไรอีก Lin’ s #เปลี่ยนเรื่องแพทย์ให้เป็นเรื่องง่าย